สำหรับกลาสโกว์ เซลติก ในฤดูกาลนี้
นักเตะญี่ปุ่น กำลังอยู่ในช่วงขึ้นหม้อเลยทีเดียว เมื่อพลพรรค “ม้าลายเขียวขาว” ทำการคว้าตัว 3 ดาวเตะเลือดซามูไรมาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็นเคียวโกะ ฟุรุฮาชิ, เรโอะ ฮาตาเตะ และไดเซ็น มาเอดะ (ยืมตัว) แน่นอนว่า แต่ละคนสามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วย
หากเราย้อนเวลากลับไป สำหรับนักเตะญี่ปุ่น ที่ก้าวมาประสบความสำเร็จในวงการลูกหนังยุโรป และสร้างชื่อจนโด่งดังกับกลาสโกว์ เซลติก ชื่อของ “ชุนซูเกะ นากามูระ” ย่อมเป็นหนึ่งในนั้นด้วย จากผลงานที่ฝากเอาไว้กับยอดทีมแห่งสก็อตแลนด์ ตลอดกว่า 4 ฤดูกาล เป็นสิ่งยืนยันเป็นอย่างดี ถือว่าเป็นรุ่นพี่ที่ปูทางให้รุ่นน้องเดินรอยตาม
นอกจากฝีเท้า และความสามารถที่ลงเล่นในยุโรปอย่างสบายแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่เหมือนเครื่องหมายการค้าของเขา นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “การยิงฟรีคิก” ที่สามารถยิงใส่คู่ต่อสู่มาอย่างมากมาย
หนึ่งในลูกฟรีคิกที่ติดอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน นั่นคือการยิงใส่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งเกมเหย้า และเยือน ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาล 2006-07 ….. ช่วงนี้ เราลองย้อนความทรงจำถึงเขากันหน่อยดีกว่า
นากามูระ เริ่มต้นกล่าวว่า เขารู้ตัวว่าไม่ใช่นักเตะที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากมายนัก ดังนั้น เขาจึงต้องหาจุดเด่นจุดอื่นเข้ามาแทนที่ นั่นคือความขยันในสนาม และการหมั่นฝึกฝนอาวุธลับอย่าง “การยิงฟรีคิก” จนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
นากามูระ เชื่อมั่นเสมอว่า การฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วง คือกุญแจที่จะไขไปสู่ความสำเร็จได้แน่นอน โดยเสริมว่า หากไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากนัก หลังจากการซ้อมทีมปกติ เขาจะฝึกพิเศษด้วยการยิงฟรีคิกต่อประมาณ 20-30 ลูก รวมถึงแขวนอุปกรณ์ไว้ที่เสาประตู และพยายามยิงให้โดนมัน นี่ถือเป็นการอุทิศตน ที่ผลิดอกออกผลเป็นผลงานในสนาม
การฝึกซ้อมฟรีคิกให้เกิดความเคยชิน และความเชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม นากามูระ บอกว่ามันอาจจะยังไม่เพียงพอ โดยเขาพยายามคิดค้น และหาเทคนิคเฉพาะตัว จนเจอท่าทางที่เหมาะสมกับการยิงฟรีคิกมากที่สุด แน่นอนว่า เขาต้องลองทำแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชนิดที่ห้ามท้อถอยอย่างเด็ดขาด
อดีตเพลย์เมคเกอร์ทีมชาติญี่ปุ่น ออกมากล่าวว่า “สำหรับเคล็ดลับการยิงฟรีคิกของผมนั้น ผมจะพยายามปักหลักเท้าขวาเอาไว้กับพื้นสนามให้มั่นคงสุด ก่อนจะจัดการยิงแบบใส่พละกำลังลงไป พร้อมกับเคลื่อนไหวบริเวณสะโพกตามไปด้วย”
“หลังจากนั้น เมื่อเท้าซ้ายสัมผัสลูกฟุตบอลแล้ว ผมจะปรับตำแหน่งข้อเท้าขึ้นไปด้านบนทันทีหากทำตามวิธีอย่างถูกต้อง และลงล็อค ลูกฟุตบอลก็จะโค้ง และมุดลงในจังหวะที่พอดิบพอดี สิ่งเหล่านี้ คือเทคนิคส่วนตัวของผม”
นากามูระ ใส่ความเห็นเพิ่มเติมว่า สิ่งที่สำคัญมากกว่าเทคนิคเชิงร่างกาย จากการวางเท้าในการยิงฟรีคิก นั่นคือเรื่องของจิตใจ โดยมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งลูกฟุตบอลเข้าไปนอนก้นตาข่าย เพราะในเกมฟุตบอลยุโรป ที่มีความกดดัน และเดิมพันสูง เรื่องของจิตวิทยาสามารถที่จะผลักดันผลงานที่ดีได้เช่นเดียวกัน
โดยเขาบอกถึงประเด็นนี้ว่า “สำหรับผมแล้ว ปัจจัยอย่างจิตวิทยาถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดเลย ผมจะไม่พยายามหิวกระหายในการยิงฟรีคิกมากจนเกินไป ซึ่งการยิงแต่ละครั้ง ภายในหัวขอผม จะต้องไม่มีอะไรมารบกวน และความคิดจะต้องแน่วแน่ด้วย”
“สำหรับการยิงฟรีคิกในแต่ละครั้ง ผมจะยิงแบบสุดความสามารถเสมอ โดยจะคอยวาดภาพ และกำหนดล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า เท้าของผมจะส่งบอลไปในทิศทางไหน เป้าหมายจะต้องไม่อยู่ในตำแหน่งที่สูงมากเกินไป เพราะบอลอาจหลุดออกจากตำแหน่งนั่นเอง”
“การยิงฟรีคิกในแต่ละครั้ง คุณจำเป็นต้องยิงให้เหนือศีรษะของกำแพง โดยที่เว้นระยะให้ลูกฟุตบอลมุดลงหลังจากนั้นได้ ผมรู้สึกดีมาก ที่เทคนิคการยิงแบบนี้ มักจะออกมาได้ผลเป็นอย่างดี” นากามูระ กล่าวทิ้งท้าย
ผลงานการซัดลูกนิ่งของนากามูระ ถือว่าได้รับการยอมรับในวงกว้าง แน่นอนว่า หนึ่งคนที่รู้ดีมากที่สุด คงจะหนีไม่พ้น กอร์ดอน สตรั๊คคั่น อดีตกุนซือกลาสโกว์ เซลติก ที่เห็นความสามารถของทางนากามูระ ทั้งในสนามซ้อม และสนามแข่งขันจริง
กอร์ดอน สตรั๊คคั่น ออกมาปิดท้ายถึงอดีตลูกทีมคนนี้ว่า ”ในฐานะผู้จัดการทีม ผมเคยมียอดนักเตะอย่างร็อบบี้ คีน และเคร็ก เบลลามี่ แต่คนที่ถือว่าเป็นอัจฉริยะ มีวิสัยทัศน์ และเปี่ยมความสามารถ ต้องยกให้กับชุนซูเกะ นากามูระ”
“นากามูระ สามารถวางบอลเข้าหน้าต่างรถประจำทางได้อย่างสบายๆ อย่างเข้าใจผิด ผมไม่ได้บอกว่านากามูระ เป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมสุดในโลก แต่ใครที่ได้เห็นเขาผ่านบอล, สัมผัสบอล หรือควบคุมบอลแล้ว ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่ามหัศจรรย์มาก“
